แนวทางปฏิบัติในการเตรียมผิวหนังผู้ป่วย (Recommended Practice for Skin Preparation of Patients)
จากการค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล งานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติในการเตรียมผิวหนังผู้ป่วยก่อนผ่าตัด เพื่อหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดมาทำการทดลองศึกษา ดังนี้
ศิริภัทร เกียรติพันธุ์ใส (2547) ได้ทำวิจัยเรื่อง การเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัดบริเวณขาหนีบในเด็กแบบไม่ฟอก ซึ่งทำการวิจัยในเด็กที่ได้รับการผ่าตัด herniotomy, orchidopexy และ circumcision จากผู้ป่วย 173 แผลผ่าตัด โดยการเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัดบริเวณขาหนีบแบบไม่ฟอก ใช้การทายาฆ่าเชื้อเพียงขั้นตอนเดียว หลังผ่าตัดพบว่า ไม่มีการติดเชื้อของแผลผ่าตัด มีเพียงหนึ่งรายเป็น stitch granuloma ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ประหยัดกำลังคน ลดโอกาสการระคายเคืองของผิวหนัง แต่ในการศึกษาครั้งนี้มีข้อจำกัดเนื่องจากไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบอุบัติการณ์การติดเชื้อของแผลผ่าตัด โดยการเตรียมฟอกผิวหนังแบบฟอกร่วมกับทายาฆ่าเชื้อ และยังไม่มีการศึกษาในผู้ใหญ่
Ellenhorn JD และคณะ (2005) ได้ทำวิจัยเรื่อง Paint-only is equivalent to scrub-and-paint in preoperative preparation of abdominal surgery sites. การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณตำแหน่งแผลผ่าตัด เพื่อเปรียบเทียบการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดหลังการผ่าตัด ใช้เทคนิค 2 วิธี วิธีแรก คือ การฟอกผิวหนังบริเวณผ่าตัด แล้วซับด้วยผ้าปราศจากเชื้อ ตามด้วยการทายาฆ่าเชื้อ providine บริเวณผ่าตัด ในผู้ป่วยจำนวน 115 ราย ที่ทำการผ่าตัดทางหน้าท้อง วิธีที่สอง การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ Providine เพียงอย่างเดียวโดยไม่ฟอกผิวหนัง ทดลองในผู้ป่วยจำนวน 119 ราย ที่ทำการผ่าตัดทางหน้าท้อง ร่วมกับการใช้ยาฆ่าเชื้อ และติดตามผลการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดภายหลังผ่าตัด 30 วัน พบว่าอุบัติการณ์การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด พบ 10 % เท่ากันทั้ง 2 วิธี เพียงแต่จำนำวิธีไหนมาใช้ที่ประหยัดและคุ้มค่ามากกว่ากัน
Samira YK. และคณะ (1999) ได้ทำวิจัยเรื่อง A comparison of chlorhexidine and Povidone-Iodine for surgical operation เปรียบเทียบน้ำยา 2 ชนิด ระหว่าง chlorhexidine กับ 10% Povidone- Iodine ใช้ทาฆ่าเชื้อหลังฟอกผิวหนังด้วย Providine scrubระยะเวลา 5 นาที แบ่งกลุ่มทดลองเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกทำการเพาะเชื้อจากเยื่อบุผิวหลังจากฟอกผิวหนัง ที่เวลา 30 ,60 และ 120 นาที กลุ่มที่ 2 หลังการทาน้ำยาฆ่าเชื้อ 2 ชนิด แล้วตรวจดูเชื้อ 48 ชม. พบว่าไม่มีความแตกต่างกันระหว่างการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทั้ง 2 ชนิด และระยะเวลาที่มีประสิทธิภาพในการฟอกผิวหนัง คือ 5 นาที
อุษาวดี อัศดรวิเศษ (2547) มีแนวทางปฏิบัติในการเตรียมผิวหนังผู้ป่วยตามแนวปฏิบัติของ AORN ดังนี้
1. ควรประเมินผิวหนังตำแหน่งผ่าตัดก่อนการเตรียมผิวหนัง โดยประเมินตุ่ม หูด ผื่น หรือสภาพผิวหนังอื่นๆ บริเวณตำแหน่งแผลผ่าตัด และบันทึกสภาพลงในแบบบันทึก รวมทั้งประเมินรอยแผลจากการบาดเจ็บต่างๆ ซึ่งอาจเป็นทางนำของเชื้อโรค
2. การกำจัดผมหรือขน เฉพาะในรายที่จำเป็น โดยปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์ หรือตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติของหน่วยงาน
3.บริเวณผิวหนังที่จะผ่าตัดและบริเวณผิวหนังโดยรอบต้องสะอาด
3.1 ควรล้างสิ่งสกปรกออกจากบริเวณผิวหนังโดยใช้น้ำยาปราศจากเชื้อเพื่อลดการปนเปื้อน
3.2 การทำความสะอาดควรปฏิบัติก่อนการเตรียมผิวหนังเพื่อผ่าตัด โดย
- แนะนำให้ผู้ป่วยอาบน้ำ สระผมก่อนมาโรงพยาบาล
- ทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัดก่อนไปห้องผ่าตัด
- ทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัดทันที ก่อนใช้น้ำยาทำให้ปราศจากเชื้อทำความสะอาดซ้ำในห้องผ่าตัด
4. ทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัดและบริเวณโดยรอบโดยน้ำยาปราศจากเชื้อ
4.1 ควรปรึกษาหน่วยควบคุมโรคติดเชื้อ หรือสถาบันที่ตรวจสอบ เกี่ยวกับชนิดน้ำยาปราศจากเชื้อที่ควรใช้ ก่อนการเลือกใช้ในการเตรียมผิวหนังเพื่อผ่าตัด
4.2 ผลิตภัณฑ์สำหรับป้องกันติดเชื้อที่ผิวหนัง ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพ้ น้ำยาปราศจากเชื้อบางชนิดสามารถซึมเข้าสู่ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อ ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท หรือเป็นอันตรายต่อทารกและสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตรได้
4.3 น้ำยาปราศจากเชื้อที่ใช้ในการเตรียมผิวหนัง ควรใช้แบบปลอดเชื้อ การติดเชื้อระหว่างผ่าตัดจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีจำนวนเชื้อโรคมากในบริเวณที่จะลงมีดผ่าตัด ดังนั้นควรเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดและบริเวณโดยรอบ ใช้อุปกรณ์ฟองน้ำหรืออุปกรณ์ที่ใช้แล้วทิ้ง
5. บุคลากรที่มีความรู้และทักษะในการเตรียมผิวหนังเพื่อผ่าตัดต้องปฏิบัติด้วยวิธีการที่จะช่วยปกป้องความคงตัวของผิวหนัง และป้องกันบาดเจ็บที่ผิวหนัง
5.1 เตรียมผิวหนังบริเวณที่มีเชื้อโรคปริมาณมากควรทำเป็นลำดับสุดท้าย เช่น บริเวณสะดือ หัวหน่าวหรือบริเวณแผลเปิด
5.2 ถ้ามี colostomy ควรแยกไว้ทำลำดับสุดท้าย แยกน้ำยาที่ใช้จากบริเวณอื่น
5.3 ใช้น้ำเกลือ 0.9% ในการเตรียมสำหรับแผลไหม้ หรือบริเวณผิวหนังที่บาดเจ็บ
5.4 หลีกเลี่ยงการใช้ chlorhexidine gluconate หรือ แอลกอฮอล์ หรือสารที่ผสมแอลกอฮอล์ในบริเวณเยื่อบุผิวหนัง
5.5 ใช้ความนุ่มนวลในการเตรียมผิวหนังผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ปัญหาทางอายุรศาสตร์ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีแผลที่ผิวหนัง
5.6 ให้น้ำยาปราศจากเชื้อสัมผัสกับผิวหนังในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ ก่อนปูผ้าปลอดเชื้อ
5.7 ป้องกันการสะสมของน้ำยาปราศจากเชื้อใต้ผู้ป่วย หรือตามเครื่องมือที่ห่อหุ้ม/สัมผัสผู้ป่วย เช่น Tourniquet cuffs แผ่น electrode
6. บันทึกการเตรียมผิวหนังผู้ป่วยในแบบบันทึกการพยาบาลระหว่างผ่าตัด ดังนี้
- สภาพผิวหนังที่ปรากฏบริเวณที่จะผ่าตัด ได้แก่ ผื่น รอยแยก รอยถลอก เป็นต้น
- ถ้ามีการกำจัดผมหรือขน ให้บอกวิธีการ เวลา และตำแหน่งของผิวหนัง
- ชนิดของสารที่ใช้เตรียมผิวหนัง เช่น สารทำความสะอาด ตัวทำละลาย และน้ำยาปราศจากเชื้อ
- ระบุชื่อผู้เตรียมผิวหนังผู้ป่วย
- บันทึกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นต่อผิวหนัง เช่น การระคายเคือง หรือแพ้
7. นโยบายและแนวทางการปฏิบัติในการเตรียมผิวหนังผู้ป่วย ควรเป็นลายลักษณ์ และทบทวนทุกปี และต้องเหมาะสมกับการใช้ในหน่วยงาน
นพชาติ ลิมปพยอมและคณะ (2551) มีแนวทางปฏิบัติการเตรียมผิวหนังบริเวณผ่าตัด ดังนี้
1. ประเมินสภาพผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัด และประวัติการแพ้ยาอีกครั้ง
2. ทำการฟอกผิวหนัง เพื่อกำจัดจำนวนสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคบริเวณผิวหนังที่จะทำผ่าตัด ลดจำนวนเชื้อโรคและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบริเวณผิวหนังที่จะทำผ่าตัด
3. กรณีจะโกนขนบริเวณผ่าตัด ควรทำที่ห้องผ่าตัดหรือก่อนการผ่าตัดไม่นานเนื่องจากอาจทำให้เกิดบาดแผล เป็นโอกาสทำให้เกิดการติดเชื้อได้
4. การเลือกน้ำยาในการฟอกผิวหนัง ควรใช้น้ำยาที่ออกฤทธิ์กว้าง และไม่เป็นพิษต่อร่างกาย
5. การฟอกผิวหนังต้องฟอกบริเวณกว้างเพียงพอต่อการผ่าตัด หลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากบริเวณไม่สะอาด
6.ใช้หลัก Aceptic technique
สุปาณี เสนาดิสัยและ วรรณภา ประไพพานิช (2547) , เรณู อาจสาลี (2540) มีแนวปฏิบัติสำหรับการเตรียมผิวหนังที่จะผ่าตัด ดังนี้
1. บริเวณศีรษะ โกนผมบริเวณศีรษะออก เช็ดใบหูและทำความสะอาดช่องหูภายนอกด้วยสำลีพันปลายไม้ เตรียมบริเวณลงมาถึงแนวกระดูกไหปลาร้าทั้งหน้าและหลัง ไม่ต้องเตรียมใบหน้า
2. บริเวณหูและปุ่มกระดูกมาสตอยด์ เตรียมบริเวณกว้างเป็นวงรอบออกไปจากใบหู ประมาณ1-2 นิ้ว โกนขนอ่อนที่ใบหูด้วย
3. บริเวณคอ เช่น ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ เตรียมบริเวณจากใต้คางลงมาถึงระดับราวหัวนม และจากหัวไหล่ข้างขวาถึงข้างซ้าย
4. บริเวณหน้าอก เช่น ผ่าตัดเต้านม เตรียมด้านหน้าจากคอตอนบนจนถึงระดับสะดือ จากแนวยาวของหัวนมข้างที่ไม่ได้ทำผ่าตัด ไปจนถึงกึ่งกลางหลังของข้างที่ทำผ่าตัด โกนขนรักแร้ทั้ง 2 ข้าง และขนอ่อนของต้นแขนจนถึงต่ำกว่าข้อศอก 1 นิ้ว
5. บริเวณท้อง เช่น ผ่าตัดถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ เตรียมตั้งแต่ระดับรักแร้ลงมาถึงฝีเย็บ
6. บริเวณท้องต่ำกว่าสะดือ เช่น ไส้ติ่ง ไส้เลื่อน เตรียมบริเวณตั้งแต่ระดับราวหัวนมลงมาถึงต้นขารวมทั้งบริเวณฝีเย็บด้วย
7. ไต เตรียมด้านหน้าจากบริเวณรักแร้จนถึงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และต้นขาทั้ง 2 ข้าง ด้านข้างจากรักแร้ถึงสะโพก ด้านหลังจากแนวกึ่งกลางลำตัวด้านหน้าอ้อมไปจนถึงกระดูกสันหลัง ซีกของไตข้างที่จะทำผ่าตัดนั้น
8. บริเวณฝีเย็บ เตรียมตั้งแต่ระดับสะดือ ลงมาถึงฝีเย็บ และด้านในของต้นขาและก้น
9. แขน ข้อศอก และมือ เตรียมบริเวณแขนข้างที่จะทำผ่าตัดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือ รวมทั้งโกนขนรักแร้ ตัดเล็บให้สั้นและทำความสะอาดด้วย
10. ไหล่ เตรียมบริเวณจากคอลงมาถึงบริเวณหน้าท้องส่วนบน ด้านข้างเตรียมด้านที่จะผ่าตัดตั้งแต่บริเวณห่างจากแนวเส้นกึ่งกลางลำตัวด้านหน้า 2 นิ้ว ไปจนถึงห่างจากแนวเส้นกึ่งกลางลำตัวของหลัง 2 นิ้ว เตรียมบริเวณแขนข้างที่จะทำช่วงบน จนถึงต่ำกว่าข้อศอก 2 นิ้ว โกนขนรักแร้ด้วย
11. ตะโพกและต้นขา เตรียมบริเวณจากระดับเอว ลงมาถึงระดับต่ำกว่าหัวเข่าข้างที่จะทำ 6 นิ้ว ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง รวมทั้งเตรียมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วย
12. หัวเข่า เตรียมจากขาหนีบถึงข้อเท้าข้างที่จะทำผ่าตัดโดยรอบ
13. ปลายขา เตรียมจากเหนือหัวเข่าประมาณ 8 นิ้ว ลงมาถึงเท้าข้างที่จะทำผ่าตัด ตัดเล็บเท้าให้สั้นและทำความสะอาดเล็บด้วย
14. เท้า เตรียมจากใต้หัวเข่าลงไปถึงเท้าข้างที่จะทำผ่าตัด ตัดเล็บเท้าให้สั้นและทำความสะอาดเล็บด้วย
จากผลงานการวิจัยข้างต้น และยึดแนวปฏิบัติของ AORN (2008) เราได้นำมาอภิปรายและสรุปเป็นแนวปฏิบัติที่ดีสุด ในการเตรียมผิวหนังผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ตามขั้นตอน ดังนี้
1. ควรประเมินผิวหนังตำแหน่งผ่าตัดก่อนการเตรียมผิวหนัง โดยประเมินตุ่ม หูด ผื่น หรือสภาพผิวหนังอื่นๆ บริเวณตำแหน่งแผลผ่าตัด และบันทึกสภาพลงในแบบบันทึก รวมทั้งประเมินรอยแผลจากการบาดเจ็บต่างๆ ซึ่งอาจเป็นทางนำของเชื้อโรค (อุษาวดี อัศดรวิเศษ ,2547; นพชาติ ลิมปพยอม,2551)
2. กรณีจะโกนขนบริเวณผ่าตัด ควรทำที่ห้องผ่าตัดหรือก่อนการผ่าตัดไม่นานเนื่องจากอาจทำให้เกิดบาดแผล เป็นโอกาสทำให้เกิดการติดเชื้อได้ (นพชาติ ลิมปพยอม ,2551)
3. การเลือกน้ำยาในการฟอกผิวหนัง
3.1 ควรใช้น้ำยาที่ออกฤทธิ์กว้าง และไม่เป็นพิษต่อร่างกาย (นพชาติ ลิมปพยอม ,2551)
3.2 ควรปรึกษาหน่วยควบคุมโรคติดเชื้อ หรือสถาบันที่ตรวจสอบ เกี่ยวกับชนิดน้ำยาปราศจากเชื้อที่ควรใช้ ก่อนการเลือกใช้ในการเตรียมผิวหนังเพื่อผ่าตัด
3.3 ผลิตภัณฑ์สำหรับป้องกันติดเชื้อที่ผิวหนัง ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพ้ น้ำยาปราศจากเชื้อบางชนิดสามารถซึมเข้าสู่ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อ ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท หรือเป็นอันตรายต่อทารกและสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตรได้
3.4 น้ำยาปราศจากเชื้อที่ใช้ในการเตรียมผิวหนัง ควรใช้แบบปลอดเชื้อ เนื่องจากการติดเชื้อระหว่างผ่าตัดจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีจำนวนเชื้อโรคมากในบริเวณที่จะลงมีดผ่าตัด ดังนั้นควรเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดและบริเวณโดยรอบ ใช้อุปกรณ์ฟองน้ำหรืออุปกรณ์ที่ใช้แล้วทิ้ง (อุษาวดี อัศดรวิเศษ ,2547)
4. บุคลากรที่มีความรู้และทักษะในการเตรียมผิวหนังเพื่อผ่าตัดต้องปฏิบัติด้วยวิธีการที่จะช่วยปกป้องความคงตัวของผิวหนัง และป้องกันบาดเจ็บที่ผิวหนัง เพื่อลดการติดเชื้อ ดังนี้(อุษาวดี อัศดรวิเศษ ,2547)
4.1 เตรียมผิวหนังบริเวณที่มีเชื้อโรคปริมาณมากควรทำเป็นลำดับสุดท้าย เช่น บริเวณสะดือ หัวหน่าวหรือบริเวณแผลเปิด
4.2 ถ้ามี colostomy ควรแยกไว้ทำลำดับสุดท้าย แยกน้ำยาที่ใช้จากบริเวณอื่น
4.3 ใช้น้ำเกลือ 0.9% ในการเตรียมสำหรับแผลไหม้ หรือบริเวณผิวหนังที่บาดเจ็บ
4.4 หลีกเลี่ยงการใช้ chlorhexidine gluconate หรือ แอลกอฮอล์ หรือสารที่ผสมแอลกอฮอล์ในบริเวณเยื่อบุผิวหนัง
4.5 ใช้ความนุ่มนวลในการเตรียมผิวหนังผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ปัญหาทางอายุรศาสตร์ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีแผลที่ผิวหนัง
4.6 ให้น้ำยาปราศจากเชื้อสัมผัสกับผิวหนังในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ ก่อนปูผ้าปลอดเชื้อ
4.7 ป้องกันการสะสมของน้ำยาปราศจากเชื้อใต้ผู้ป่วย หรือตามเครื่องมือที่ห่อหุ้ม/สัมผัสผู้ป่วย เช่น Tourniquet cuffs แผ่น electrode
4.8 เตรียมผิวหนังบริเวณที่ทำการผ่าตัดตามแนวปฏิบัติของ สุปาณี เสนาดิสัยและ วรรณภา ประไพพานิช (2547)
5. การฟอกผิวหนังและทายาฆ่าเชื้อบริเวณผ่าตัด
5.1 การฟอกผิวหนังบริเวณผ่าตัด แล้วซับด้วยผ้าปราศจากเชื้อ ตามด้วยการทายาฆ่าเชื้อ providine บริเวณผ่าตัด ที่ทำการผ่าตัดทางหน้าท้อง วิธีที่สอง การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ Providine เพียงอย่างเดียวโดยไม่ฟอกผิวหนัง ซึ่งทั้ง 2 วิธี พบว่ามีการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดไม่แตกต่างกัน (Ellenhorn JD และคณะ ,2005)
5.2 เด็กที่ได้รับการผ่าตัด herniotomy, orchidopexy และ circumcision เตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัดบริเวณขาหนีบแบบไม่ฟอก ใช้การทายาฆ่าเชื้อเพียงขั้นตอนเดียว ซึ่งจากการวิจัยพบว่าไม่มีการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ประหยัดกำลังคน ลดโอกาสการระคายเคืองของผิวหนัง (ศิริภัทร เกียรติพันธุ์ใส ,2547)
5.3 ระยะเวลาที่เหมาะสมในการฟอกผิวหนังคือ 5 นาที สามารถลดการติดเชื้อบริเวณเยื่อบุผิวหนังบริเวณผ่าตัด (Samira YK. และคณะ ,1999)
5.4 การฟอกผิวหนังต้องฟอกบริเวณกว้างเพียงพอต่อการผ่าตัด เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากบริเวณไม่สะอาด (นพชาติ ลิมปพยอม ,2551)
6. บันทึกการเตรียมผิวหนังผู้ป่วยในแบบบันทึกการพยาบาลระหว่างผ่าตัด (อุษาวดี อัศดรวิเศษ ,2547) ดังนี้
- สภาพผิวหนังที่ปรากฏบริเวณที่จะผ่าตัด ได้แก่ ผื่น รอยแยก รอยถลอก เป็นต้น
- ถ้ามีการกำจัดผมหรือขน ให้บอกวิธีการ เวลา และตำแหน่งของผิวหนัง
- ชนิดของสารที่ใช้เตรียมผิวหนัง เช่น สารทำความสะอาด ตัวทำละลาย และน้ำยาปราศจากเชื้อ
- ระบุชื่อผู้เตรียมผิวหนังผู้ป่วย
- บันทึกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นต่อผิวหนัง เช่น การระคายเคือง หรือแพ้
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552
แนวทางการดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องผ่าตัด
แนวทางการดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องผ่าตัด (Environment)
เรณู อาจสาลี (2550) กล่าวไว้ว่าการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในห้องผ่าตัดด้านโครงสร้างทางกายภาพ มีดังนี้คือ
1. ขนาดของห้องผ่าตัดแต่ละห้องควรมีการออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการผ่าตัดของโรงพยาบาลแต่ละแห่งโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้
1) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดเล็ก ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 20x20x10 ฟุต หรือ 400 ตารางฟุต(ประมาณ 37 ตารางเมตร)
2) ห้องผ่าตัดขนาดกลางควรมีพื้นที่อย่างน้อย 22x22x10 ฟุต หรือ 484 ตารางฟุต(ประมาณ 45 ตารางเมตร) การผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือพิเศษที่มีเทคโนโลยีสูงเช่น เครื่องเลเซอร์ เครื่องวิดีทัศน์
3) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดใหญ่ควรมีพื้นที่กว้างอย่างน้อย 20x30x10 ฟุต (ประมาณ 60 ตารางเมตร) เช่น ห้องผ่าตัดหัวใจ
2. พื้นห้องผ่าตัดควรทำด้วยวัสดุเรียบแข็ง ไม่มีรูพรุน กันไฟ กันน้ำรั่วซึม และกันการดูดซับของสี ไม่สะท้อนแสงรับน้ำหนักได้ดีสามารถทำความสะอาดได้ง่ายพื้นต้องไม่มีร่องหรือรอยต่อเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเมื่อเคลื่อนย้ายเข้าออกและป้องกันอุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงาน ประตูควรเป็นประตูเลื่อนเพราะการเปิดเข้าออกบ่อยๆจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของอากาศควรมีช่องกระจกให้มองผ่านได้โดยไม่ต้องเปิดประตูเพื่อไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องผ่านเข้าออกโดยไม่จำเป็น
3. แสงสว่างในห้องต้องมีเพียงพอ นอกจากไฟเพดานแล้วต้องมีไฟผ่าตัดที่มีความเข้มข้นระหว่าง 2,500 - 12,500 แรงเทียน สามารถปรับความเข้มข้นของแสงได้ และเลื่อนไปมาได้ปรับโฟกัสได้ มีแกนไฟสำหรับสวมที่จับ (Light Handle) เพื่อให้ทีมผ่าตัดสามารถจัดไฟได้ตามต้องการ
4. อุณหภูมิของห้องควรปรับให้ได้ประมาณ 18–20 องศาเซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 50-60% เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ป้องกันการเกิดอุณหภูมิกายต่ำ
5. การแบ่งเขตในห้องผ่าตัด แบ่งดังนี้
1) เขตปลอดเชื้อ (Sterile Area) หมายถึงเฉพาะภายในห้องผ่าตัดทุกห้อง บุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวก ผูกผ้าปิดปาก และ จมูก ตลอดเวลา
2) เขตกึ่งปลอดเชื้อ(Semi –Sterile Area) หมายถึงทางเดินภายในตึกผ่าตัด ระหว่างห้องผ่าตัด ห้องล้างมือ ห้องพักฟื้น บุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวกก่อนผ่านเข้าไป
3) เขตไม่ปลอดเชื้อ (Non-Sterile Area) เป็นเขตรอยต่อระหว่างภายในกับภายนอกห้องผ่าตัดเป็นเขตที่บุคคลภายนอกที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดห้องผ่าตัดสามารถเจอกับบุคคลากรภายในห้องผ่าตัดได้
6. อ่างล้างมือ เป็นห้องที่ติดอยู่กับห้องผ่าตัดมีอ่างล้างมืออย่างน้อย 2 อ่าง : 1 ห้องผ่าตัด อ่างควรมีความลึกพอสมควร ก๊อกน้ำไม่สูงเกินไปมีที่ปิดเปิดน้ำด้วยข้อศอกหรือเข่าที่ใช้ในการล้างมือ
7. บริเวณชะล้างในตึกผ่าตัดและห้องจัดเตรียมห่อเครื่องมือ เครื่องใช้ ควรแยกออกจากเขตปลอดเชื้อและ เครื่องมือ เครื่องใช้ ภายหลังผ่าตัด เมื่อล้างทำความสะอาดแล้วไม่ควรนำกลับมาที่เขตปลอดเชื้อ
8. การทำความสะอาดห้องผ่าตัด
1) ทำความสะอาดก่อนเริ่มผ่าตัดตอนเช้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและผงซักฟอก ไม่ควรใช้ไม้กวาด เพราะทำให้ฝุ่นละออง ฟุ้งกระจาย
2) การทำความสะอาดขณะผ่าตัด ถ้ามีสิ่งสกปรก สารคัดหลั่ง เลือดที่เกิดการปนเปื้อน หลังการทำผ่าตัดควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราดทิ้งไว้ 15-30นาที ก่อนเช็ดทำความสะอาด
3) การทำความสะอาดภายหลังการเสร็จผ่าตัดแต่ละราย ทำความสะอาดพื้นห้องและอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนปนเปื้อนก่อนเริ่มการผ่าตัดรายต่อไป
4) การทำความสะอาดหลังผ่าตัดในแต่ละวัน ทำความสะอาด พื้นห้องในห้องผ่าตัด ห้องล้างมือ บริเวณกึ่งปลอดเชื้อ
9. การทำความสะอาดกรณีหลังผ่าตัดที่มีการติดเชื้อ (Septic Case)
1) เครื่องมืออุปกรณ์แช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ 30 นาทีก่อนนำไปล้างทำความสะอาด
2) บุคลากรเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า หมวก ผ้าปิดปาก ปิดจมูก
3) ขยะ แยกใส่ถุงแดง เขียนป้ายขยะติดเชื้อให้ชัดเจน
4) พื้นห้องควรเทน้ำยาฆ่าเชื้อ ราดไว้ 30 นาที ก่อนเช็ดทำความสะอาด
อะเคื้อ อุณหเลขกะ (2549) กล่าวถึงการควบคุมสิ่งแวดล้อมในห้องผ่าตัดเพื่อความปลอดภัยดังนี้
1. ควรจำกัดจำนวนบุคลากรใน ห้องผ่าตัดและให้มีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันในการแพร่กระจายเชื้อในอากาศ และควรปิดประตูห้องผ่าตัดไว้เสมอ
2. อุปกรณ์และเครื่องใช้ที่จำเป็นควรนำเข้ามาในห้องผ่าตัดให้เรียบร้อยก่อนเริ่มการผ่าตัดเพื่อลดการเข้าออกห้องผ่าตัด
3. การถ่ายเทอากาศไปในแนวทางเดียวจากผนังด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งในแนวนอนหรือจากเพดานลงมาในแนวตั้งเช่นระบบ Laminar Air Flow จะมีส่วนประกอบเป็น HEPA Filters ซึ่งสามารถขจัดเชื้อแบคทีเรียทุกชนิด เชื้อรา และแม้แต่เชื้อไวรัส อนุภาคที่มีขนาดตั้งแต่0.3µmได้ถึงร้อยละ 99.97 แรงดันอากาศควรสูงกว่าบริเวณข้างเคียง (Positive Pressure) เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศจากภายนอกซึ่งมีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่เข้าสู่ห้องผ่าตัด ควรมีการหมุนเวียนอากาศ 15รอบต่อชั่วโมง
4. อุณหภูมิให้ภายในห้องผ่าตัดอยู่ระหว่างอุณหภูมิ 18-24 องศาเซลเซียส
5. ความชื้นสัมพัทธ์ 30-60%
AORN (2008) ได้กล่าวถึงข้อปฏิบัติที่สนับสนุนการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิด ความปลอดภัยในห้องผ่าตัด ไว้ว่า
1. ความปลอดภัยเป็นความเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการจัดสิ่งแวดล้อมในห้องผ่าตัดโดยจะต้องมีความปลอดภัยในด้านต่อไปนี้
1) ปลอดภัยต่อผู้ป่วย
2) ปลอดภัยต่อแพทย์และผู้ร่วมทีมผ่าตัด
3) ปลอดภัยต่อบุคคลภายนอก
4) ป้องกันการให้ยา
5) มีระบบป้องกันในการให้ข้อมูลกับผู้ป่วย
2. การจัดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ การจัดเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆในที่ทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ป่วยและบุคลากรที่ปฏิบัติงาน
3. ความปลอดภัยในการใช้จี้ไฟฟ้า ควรจัดให้มีแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนตรวจสอบสภาพก่อนใช้งานทุกครั้ง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยไม่เกิดภาวะ Burn กับอวัยวะต่างๆและไม่เกิด Electric Shock
4. ควบคุมระบบ Heating, Ventilation and Air Condition ในห้องผ่าตัดให้ได้มาตรฐานเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและลดอัตราการติดเชื้อของแผลผ่าตัด คือ
1) ควบคุมอุณหภูมิ ให้อยู่ระหว่าง 68-73 องศา ฟาเรนไฮต์ หรือ 20-30 องศาเซลเซียส
2) ควบคุมความชื้นให้ได้ 30-60 เปอร์เซ็นต์
3) ควบคุม Air flow ให้เป็น Positive Pressure
5. จัดให้มีสัญญาณฉุกเฉิน เตือนภัยในหน่วยงานเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ควรดูแลระหว่างช่างของโรงพยาบาล และไม่ควรอยู่ใกล้กับอุปกรณ์ต่อไปนี้ เช่นจี้ไฟฟ้า เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อุปกรณ์ในการดมยาสลบ และเครื่องมือในการช่วยฟื้นคืนชีพ และควรมีการตรวจเช็คอุปกรณ์ก่อนและหลังใช้งานทุกครั้ง เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
6. การจัดเก็บอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์โดยเฉพาะลวด สายไฟฟ้า สายเคเบิล ควรเก็บโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายและการบาดเจ็บต่อผู้ป่วย แพทย์ และทีมผ่าตัด
7. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากอัคคีภัย ทั้งกับผู้ป่วยและ สถานที่ทำงานโดยจัดทำแผนผังการจัดการ แยกกลุ่มและแยกประเภทให้ชัดเจน
8. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการใช้แก๊สในการผ่าตัด ควรจัดเตรียมให้พรอ้มใช้ จัดเก็บและควบคุมสถานที่เก็บอย่างเหมาะสม
9. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการใช้แก๊สดมยาสลบควรมีการบริหารจัดการการควบคุมปริมาณแก๊สในองค์กรให้ได้รับแก๊สจากการทำงานน้อยที่สุดโดย The NIOSH ได้กำหนดมาตรฐานว่าไนตรัสออกไซด์ ควรได้รับไม่เกิน 25 ppm.ใน 8 ชั่วโมงและไม่เกิน 2 ppm. ใน 1 ชั่วโมง และทั้งระบบได้ประมาณ 1000 ppm. และควรล้างแอร์ ทุก 6 เดือนมี Air Filter และมีโปรแกรมการติดตามวัด ไนตรัสออกไซด์ อย่างต่อเนื่อง
10. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากควันจากการผ่าตัด ซึ่งเกิดจากการใช้จี้ไฟฟ้าและเลเซอร์ ควันจาการผ่าตัดมีผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนทำให้ระคายเคืองมีผลต่อสุขภาพระยะยาวและอาจทำให้เป็นมะเร็ง ดังนั้นจึงควรมีระบบป้องกันโดยใช้เครื่องดูดควัน หรือใช้ suction และมีตัวกรองอากาศในห้องผ่าตัด
11. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการใช้สารเคมี รวมทั้ง methyl methacrylate ,bone cement ซึ่งมีผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน ตาและ ระคายเคืองผิวหนังซึ่งmethyl methacrylate มีส่วนปะกอบของคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไฮโดรเจนและมีเทน ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ขาดประสบการณ์มีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หายใจลำบาก จึงควรมีการป้องกันให้ออกจากสิ่งแวดล้อม มีเครื่องดูดอากาศแลระบายอากาศที่ดี
AORN Recommended Practice for Environment Cleaning in Perioperative Setting (2008) กล่าวไว้ว่าการจัดสิ่งแวดล้อมทางด้านการทำความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในห้องผ่าตัดที่จะต้องมีแนวการปฏิบัติอย่างชัดเจนสรุป ได้ดังนี้
1. การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยด้านการทำความสะอาด เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรค และป้องกันการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ซึ่งต้องครอบคลุมถึง การทำความสะอาดห้อง เครื่องมืออุปกรณ์ ตลอดจนส่วนที่เชื่อมต่อกับสิ่งแวดล้อมภายนอก และควรมีการกำหนดทั้งต่อวัน ต่อสัปดาห์ และต่อเดือนให้เป็นมาตรฐาน
1) การทำความสะอาดห้อง อุปกรณ์ภายในห้องผ่าตัด เตียงผ่าตัด ต้องเช็ดทำความสะอาดก่อนเริ่มการผ่าตัดรายแรกของแต่ละวัน โดยใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำลายเชื้อ
2) หลังจากเสร็จผ่าตัดแต่ละรายเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อจากคราบเลือดสารคัดหลั่ง ควรเช็ดด้วยน้ำยาทำลายเชื้อและตามด้วยน้ำ ไม่ควรนำสารเคมีหรือน้ำยาทำลายเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ในการทำความสะอาดและทำลายเชื้อในส่วนที่เป็นพื้นผิวหรือเครื่องมือรอบๆห้อง แอลกอฮอล์ไม่ควรนำมาใช้ในการทำความสะอาดพื้นผิว เนื่องจากไม่สามารถขจัดคราบสกปรกที่เลอะเทอะออกได้และมีคุณสมบัติติดไฟต้องใช้อย่างระมัดระวัง
3) การทำความสะอาดพื้นที่หลังเสร็จการผ่าตัดในแต่ละวันจะทำเมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัดรายสุดท้ายของวันนั้น
4) ทุกๆ 24 ชั่วโมงหรือในช่วงเวลาระหว่างการทำงานของสัปดาห์ ควรมีระเบียบการล้างขัดห้องให้สะอาดอีกครั้ง โดยต้องเอาอุปกรณ์รอบๆห้องออกก่อน
5) พื้นที่อื่นๆ เช่นทางเดินรอบนอก ระหว่างห้องต่างๆ อ่างล้างมือ ห้องเก็บเครื่องมือปราศจากเชื้อควรมีการกำหนดวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน
2. มีข้อปฏิบัติของบุคคลากรเมื่อมีการผ่าตัดผู้ป่วยติดเชื้อเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อและเกิดความปลอดภัยจากการประกอบอาชีพ ป้องกันการได้รับเชื้อจากการทำงาน เช่น Hepatitis B, Hepatitis C, AIDS
1) ป้องกันการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่งและเครื่องมือที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคโดยไม่สัมผัสกับเครื่องมือโดยตรง ถุงมือที่สัมผัสกับเชื้อโรค สารคัดหลั่งต้องไม่ไปสัมผัสกับพื้นผิวรอบนอก สวมผ้าปิดปากและแว่นตาขณะปฏิบัติงาน
2) เครื่องมืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเลือดสารคัดหลั่งและเชื้อโรคหลังผ่าตัดต้องทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาทำลายเชื้อและทำความสะอาดพื้นที่ในห้องผ่าตัดทันที
3) ของมีคม เช่น มีดเข็มหรือวัสดุที่ใช้แล้วทิ้งกำจัดโดยใส่ภาชนะปิดและทนต่อการทะลุ
จากผลการศึกษาการปฏิบัติที่เป็นเลิศทางการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัย สรุปเป็นวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศของห้องผ่าตัด ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างทางกายภาพ ดังนี้ (เรณู อาจสาลี, 2550)
1. ขนาดของห้องผ่าตัดแต่ละห้องควรมีการออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการผ่าตัดของโรงพยาบาลแต่ละแห่งโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้
(1) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดเล็ก ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 20x20x10 ฟุต หรือ 400 ตารางฟุต (ประมาณ 37 ตารางเมตร) เพราะใช้ในการผ่าตัดเล็กที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือจำนวนมาก
(2) ห้องผ่าตัดขนาดกลางควรมีพื้นที่อย่างน้อย 22x22x10 ฟุตหรือ 484 ตารางฟุต (ประมาณ 45 ตารางเมตร) การผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือพิเศษที่มีเทคโนโลยีสูงเช่น เครื่องเลเซอร์ เครื่องวิดีทัศน์ เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ขณะใช้งานในห้อง
(3) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดใหญ่ควรมีพื้นที่กว้างอย่างน้อย 20x30x10 ฟุต(ประมาณ 60 ตารางเมตร) เช่น ห้องผ่าตัดหัวใจ ซึ่งต้องมีเครื่องมือสำหรับเฝ้าระวังผู้ป่วยและเครื่องมือพิเศษจำนวนมาก
2. พื้นห้องผ่าตัดควรทำด้วยวัสดุเรียบแข็ง ไม่มีรูพรุน กันไฟ กันน้ำรั่วซึม และกันการดูดซับของสี ไม่สะท้อนแสงรับน้ำหนักได้ดีสามารถทำความสะอาดได้ง่ายพื้นต้องไม่มีร่องหรือรอยต่อเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเมื่อเคลื่อนย้ายเข้าออกและป้องกันอุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงาน ประตูควรเป็นประตูเลื่อนเพราะการเปิดเข้าออกบ่อยๆจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของอากาศควรมีช่องกระจกให้มองผ่านได้โดยไม่ต้องเปิดประตูเพื่อไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องผ่านเข้าออกโดยไม่จำเป็น
3. แสงสว่างในห้องต้องมีเพียงพอ นอกจากไฟเพดานแล้วต้องมีไฟผ่าตัดที่มีความเข้มข้นระหว่าง 2,500-12,500 แรงเทียนสามารถปรับความเข้มข้นของแสงได้ และเลื่อนไปมาได้ทุกทิศทางปรับโฟกัสได้มีแกนไฟสำหรับสวมที่จับ (Light Handle) เพื่อให้ทีมผ่าตัดสามารถจัดไฟได้ตามต้องการ
4. อุณหภูมิของห้องควรปรับให้ได้ประมาณ 18-24 องศาเซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 30-60% เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ป้องกันการเกิดอุณหภูมิกายต่ำ (อะเคื้อ อุณหเลขกะ, 2549, เรณู อาจสาลี, 2550, AORN, 2008 )
5. ระบบการถ่ายเทอากาศเป็น Positive Pressure เพื่อป้องกันอากาศภายนอกเข้าไปในห้องผ่าตัด มีระบบ Laminar Air Flow เป็น HEPA Filters สำหรับกรองอากาศและเชื้อแบคทีเรีย (อะเคื้อ อุณหเลขกะ, 2549)
6. การแบ่งเขตในห้องผ่าตัด เพื่อให้เกิดความสะอาดและสะดวกในการปฏิบัติงานและบุคคลากรสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องในเขตต่างๆแบ่งดังนี้ (เรณู อาจสาลี, 2550)
(1) เขตปลอดเชื้อ (Sterile Area) หมายถึงเฉพาะภายในห้องผ่าตัดทุกห้องบุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวก ผูกผ้าปิดปาก และ จมูก
(2) เขตกึ่งปลอดเชื้อ (Semi–Sterile Area) หมายถึงทางเดินภายในตึกผ่าตัด ระหว่างห้องผ่าตัด ห้องล้างมือ ห้องพักฟื้น บุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวกก่อนผ่านเข้าไป
(3) เขตไม่ปลอดเชื้อ (Non-Sterile Area) เป็นเขตรอยต่อระหว่างภายในกับภายนอกห้องผ่าตัดเป็นเขตที่บุคคลภายนอกที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดห้องผ่าตัดสามารถเจอกับบุคคลากรภายในห้องผ่าตัดได้
7. อ่างล้างมือ เป็นห้องที่ติดอยู่กับห้องผ่าตัดมีอ่างล้างมืออย่างน้อย 2 อ่างต่อ 1 ห้องผ่าตัดเพื่อความสะดวก อ่างควรมีความลึกพอสมควร ก๊อกน้ำไม่สูงเกินไปมีที่ปิดเปิดน้ำด้วยข้อศอกหรือเข่าที่ใช้ในการล้างมือเพื่อป้องกันการปนเปื้อนหลังจากล้างมือแล้ว
8. บริเวณชะล้างในตึกผ่าตัดและห้องจัดเตรียมห่อเครื่องมือ เครื่องใช้ ควรแยกออกจากเขตปลอดเชื้อและ เครื่องมือ เครื่องใช้ ภายหลังผ่าตัด เมื่อล้างทำความสะอาดแล้วไม่ควรนำกลับมาที่เขตปลอดเชื้อเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
9. การทำความสะอาดห้องผ่าตัด
(1) ทำความสะอาดก่อนเริ่มผ่าตัดตอนเช้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและผงซักฟอก หรือน้ำยาทำลายเชื้อ ไม่ควรใช้ไม้กวาด เพราะทำให้ฝุ่นละออง ฟุ้งกระจาย (เรณู อาจสาลี, 2550, AORN, 2008)
(2) การทำความสะอาดภายหลังการเสร็จผ่าตัดแต่ละราย ทำความสะอาดพื้นห้องและอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนก่อนเริ่มการผ่าตัดรายต่อไป ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีหรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ในการทำลายเชื้อแอลกอฮอล์ไม่ควรใช้ในการทำความสะอาดพื้นผิวเนื่องจากไม่สามารถขจัดพื้นที่สกปรกและเลอะเทอะออกได้และมีคุณสมบัติติดไฟต้องใช้อย่างระมัดระวัง (AORN, 2008) การทำความสะอาดหลังผ่าตัดในแต่ละวัน จะทำเมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัดรายสุดท้ายของวันนั้นเพื่อลดจำนวนเชื้อโรคในอากาศและอุปกรณ์ในการผ่าตัด (AORN, 2008, เรณู อาจสาลี, 2550)
(3) ทุกๆ 24 ชั่วโมงหรือในช่วงเวลาระหว่างการทำงานของสัปดาห์ควรมีระเบียบกำหนดให้มีการล้างขัดห้องให้สะอาดอีกครั้ง โดยเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ต่างๆออกนอกห้องเพื่อทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง (AORN, 2008)
(4) พื้นที่อื่นๆเช่นทางเดินรอบนอก ระหว่างห้องต่างๆ อ่างล้างมือ ห้องเก็บเครื่องมือปราศจากเชื้อควรมีการกำหนดวิธีทำความสะอาดให้ชัดเจนเพื่อให้ทุกพื้นที่ในห้องผ่าตัดได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง (AORN, 2008)
10. การทำความสะอาดกรณีหลังผ่าตัดที่มีการติดเชื้อ (septic case) เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้ป่วยอื่นและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
(1) เครื่องมืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเลือด สารคัดหลั่งและเชื้อโรคหลังผ่าตัดต้องมีการทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาทำลายเชื้อ ของมีคมเช่นเข็ม มีดหรือวัสดุที่ใช้แล้วทิ้ง กำจัดโดยใส่ภาชนะปิดและทนต่อการแทงทะลุ (AORN, 2008)
(2) บุคลากรควรมีการป้องกันการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่งและเครื่องมือที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคโดยไม่สัมผัสกับเครื่องมือโดยตรงบุคคลากรต้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า หมวก ผ้าปิดปากหลังเสร็จสิ้นการผ่าตัดทุกราย (AORN, 2008, เรณู อาจสาลี, 2550)
(3) ขยะ แยกใส่ถุงแดง เขียนป้ายขยะติดเชื้อให้ชัดเจน (เรณู อาจสาลี, 2550)
(4) พื้นห้องควรทำความสะอาดทันทีหลังเสร็จผ่าตัดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่า(AORN, 2008) หรือเทน้ำยาฆ่าเชื้อราดไว้ 30 นาที ก่อนเช็ดทำความสะอาด (เรณู อาจสาลี, 2550)
2. ด้านความปลอดภัยต่อผู้ป่วยและบุคลากร(AORN, 2008)
1) ความปลอดภัยในการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า และเครื่องมือทางการแพทย์ ควรจัดให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ตรวจสอบสภาพการใช้งานทุกครั้งและได้รับการตรวจสอบจากบริษัททุกปี
2) จัดให้มีสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินในหน่วยงานเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินและได้รับการดูแลจากช่างของโรงพยาบาล มีการตรวจเช็คอุปกรณ์ และตรวจสอบการใช้งานทุกวัน
3) มีระบบการป้องอัคคีภัยมีแผนการบริหารจัดการเมื่อเกิดอัคคีภัยอย่างชัดเจนตลอดจนให้ความรู้บุคลากรและซ้อมแผนป้องกันอัคคีภัยอย่างต่อเนื่องมี ป้ายบอกทางหนีไฟ และตรวจสอบอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา
4) มีระบบการติดตามวัดปริมาณการใช้ก๊าซในการผ่าตัด และ ดมยาสลบ อย่างต่อเนื่องโดยมาตรฐานการได้รับก๊าซไนตรัสไม่ควรเกิน 25 ppmใน 8 ชั่วโมงและไม่เกิน 2 ppmใน 1ชั่วโมง และทั้งระบบไม่ควรเกิน 1000 ppm มีการ ล้างแอร์อย่างน้อยทุก 6 เดือน และมี HEPA filter สำหรับกรองอากาศและเชื้อแบคทีเรีย
เรณู อาจสาลี (2550) กล่าวไว้ว่าการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในห้องผ่าตัดด้านโครงสร้างทางกายภาพ มีดังนี้คือ
1. ขนาดของห้องผ่าตัดแต่ละห้องควรมีการออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการผ่าตัดของโรงพยาบาลแต่ละแห่งโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้
1) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดเล็ก ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 20x20x10 ฟุต หรือ 400 ตารางฟุต(ประมาณ 37 ตารางเมตร)
2) ห้องผ่าตัดขนาดกลางควรมีพื้นที่อย่างน้อย 22x22x10 ฟุต หรือ 484 ตารางฟุต(ประมาณ 45 ตารางเมตร) การผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือพิเศษที่มีเทคโนโลยีสูงเช่น เครื่องเลเซอร์ เครื่องวิดีทัศน์
3) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดใหญ่ควรมีพื้นที่กว้างอย่างน้อย 20x30x10 ฟุต (ประมาณ 60 ตารางเมตร) เช่น ห้องผ่าตัดหัวใจ
2. พื้นห้องผ่าตัดควรทำด้วยวัสดุเรียบแข็ง ไม่มีรูพรุน กันไฟ กันน้ำรั่วซึม และกันการดูดซับของสี ไม่สะท้อนแสงรับน้ำหนักได้ดีสามารถทำความสะอาดได้ง่ายพื้นต้องไม่มีร่องหรือรอยต่อเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเมื่อเคลื่อนย้ายเข้าออกและป้องกันอุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงาน ประตูควรเป็นประตูเลื่อนเพราะการเปิดเข้าออกบ่อยๆจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของอากาศควรมีช่องกระจกให้มองผ่านได้โดยไม่ต้องเปิดประตูเพื่อไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องผ่านเข้าออกโดยไม่จำเป็น
3. แสงสว่างในห้องต้องมีเพียงพอ นอกจากไฟเพดานแล้วต้องมีไฟผ่าตัดที่มีความเข้มข้นระหว่าง 2,500 - 12,500 แรงเทียน สามารถปรับความเข้มข้นของแสงได้ และเลื่อนไปมาได้ปรับโฟกัสได้ มีแกนไฟสำหรับสวมที่จับ (Light Handle) เพื่อให้ทีมผ่าตัดสามารถจัดไฟได้ตามต้องการ
4. อุณหภูมิของห้องควรปรับให้ได้ประมาณ 18–20 องศาเซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 50-60% เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ป้องกันการเกิดอุณหภูมิกายต่ำ
5. การแบ่งเขตในห้องผ่าตัด แบ่งดังนี้
1) เขตปลอดเชื้อ (Sterile Area) หมายถึงเฉพาะภายในห้องผ่าตัดทุกห้อง บุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวก ผูกผ้าปิดปาก และ จมูก ตลอดเวลา
2) เขตกึ่งปลอดเชื้อ(Semi –Sterile Area) หมายถึงทางเดินภายในตึกผ่าตัด ระหว่างห้องผ่าตัด ห้องล้างมือ ห้องพักฟื้น บุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวกก่อนผ่านเข้าไป
3) เขตไม่ปลอดเชื้อ (Non-Sterile Area) เป็นเขตรอยต่อระหว่างภายในกับภายนอกห้องผ่าตัดเป็นเขตที่บุคคลภายนอกที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดห้องผ่าตัดสามารถเจอกับบุคคลากรภายในห้องผ่าตัดได้
6. อ่างล้างมือ เป็นห้องที่ติดอยู่กับห้องผ่าตัดมีอ่างล้างมืออย่างน้อย 2 อ่าง : 1 ห้องผ่าตัด อ่างควรมีความลึกพอสมควร ก๊อกน้ำไม่สูงเกินไปมีที่ปิดเปิดน้ำด้วยข้อศอกหรือเข่าที่ใช้ในการล้างมือ
7. บริเวณชะล้างในตึกผ่าตัดและห้องจัดเตรียมห่อเครื่องมือ เครื่องใช้ ควรแยกออกจากเขตปลอดเชื้อและ เครื่องมือ เครื่องใช้ ภายหลังผ่าตัด เมื่อล้างทำความสะอาดแล้วไม่ควรนำกลับมาที่เขตปลอดเชื้อ
8. การทำความสะอาดห้องผ่าตัด
1) ทำความสะอาดก่อนเริ่มผ่าตัดตอนเช้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและผงซักฟอก ไม่ควรใช้ไม้กวาด เพราะทำให้ฝุ่นละออง ฟุ้งกระจาย
2) การทำความสะอาดขณะผ่าตัด ถ้ามีสิ่งสกปรก สารคัดหลั่ง เลือดที่เกิดการปนเปื้อน หลังการทำผ่าตัดควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราดทิ้งไว้ 15-30นาที ก่อนเช็ดทำความสะอาด
3) การทำความสะอาดภายหลังการเสร็จผ่าตัดแต่ละราย ทำความสะอาดพื้นห้องและอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนปนเปื้อนก่อนเริ่มการผ่าตัดรายต่อไป
4) การทำความสะอาดหลังผ่าตัดในแต่ละวัน ทำความสะอาด พื้นห้องในห้องผ่าตัด ห้องล้างมือ บริเวณกึ่งปลอดเชื้อ
9. การทำความสะอาดกรณีหลังผ่าตัดที่มีการติดเชื้อ (Septic Case)
1) เครื่องมืออุปกรณ์แช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ 30 นาทีก่อนนำไปล้างทำความสะอาด
2) บุคลากรเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า หมวก ผ้าปิดปาก ปิดจมูก
3) ขยะ แยกใส่ถุงแดง เขียนป้ายขยะติดเชื้อให้ชัดเจน
4) พื้นห้องควรเทน้ำยาฆ่าเชื้อ ราดไว้ 30 นาที ก่อนเช็ดทำความสะอาด
อะเคื้อ อุณหเลขกะ (2549) กล่าวถึงการควบคุมสิ่งแวดล้อมในห้องผ่าตัดเพื่อความปลอดภัยดังนี้
1. ควรจำกัดจำนวนบุคลากรใน ห้องผ่าตัดและให้มีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันในการแพร่กระจายเชื้อในอากาศ และควรปิดประตูห้องผ่าตัดไว้เสมอ
2. อุปกรณ์และเครื่องใช้ที่จำเป็นควรนำเข้ามาในห้องผ่าตัดให้เรียบร้อยก่อนเริ่มการผ่าตัดเพื่อลดการเข้าออกห้องผ่าตัด
3. การถ่ายเทอากาศไปในแนวทางเดียวจากผนังด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งในแนวนอนหรือจากเพดานลงมาในแนวตั้งเช่นระบบ Laminar Air Flow จะมีส่วนประกอบเป็น HEPA Filters ซึ่งสามารถขจัดเชื้อแบคทีเรียทุกชนิด เชื้อรา และแม้แต่เชื้อไวรัส อนุภาคที่มีขนาดตั้งแต่0.3µmได้ถึงร้อยละ 99.97 แรงดันอากาศควรสูงกว่าบริเวณข้างเคียง (Positive Pressure) เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศจากภายนอกซึ่งมีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่เข้าสู่ห้องผ่าตัด ควรมีการหมุนเวียนอากาศ 15รอบต่อชั่วโมง
4. อุณหภูมิให้ภายในห้องผ่าตัดอยู่ระหว่างอุณหภูมิ 18-24 องศาเซลเซียส
5. ความชื้นสัมพัทธ์ 30-60%
AORN (2008) ได้กล่าวถึงข้อปฏิบัติที่สนับสนุนการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิด ความปลอดภัยในห้องผ่าตัด ไว้ว่า
1. ความปลอดภัยเป็นความเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการจัดสิ่งแวดล้อมในห้องผ่าตัดโดยจะต้องมีความปลอดภัยในด้านต่อไปนี้
1) ปลอดภัยต่อผู้ป่วย
2) ปลอดภัยต่อแพทย์และผู้ร่วมทีมผ่าตัด
3) ปลอดภัยต่อบุคคลภายนอก
4) ป้องกันการให้ยา
5) มีระบบป้องกันในการให้ข้อมูลกับผู้ป่วย
2. การจัดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ การจัดเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆในที่ทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ป่วยและบุคลากรที่ปฏิบัติงาน
3. ความปลอดภัยในการใช้จี้ไฟฟ้า ควรจัดให้มีแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนตรวจสอบสภาพก่อนใช้งานทุกครั้ง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยไม่เกิดภาวะ Burn กับอวัยวะต่างๆและไม่เกิด Electric Shock
4. ควบคุมระบบ Heating, Ventilation and Air Condition ในห้องผ่าตัดให้ได้มาตรฐานเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและลดอัตราการติดเชื้อของแผลผ่าตัด คือ
1) ควบคุมอุณหภูมิ ให้อยู่ระหว่าง 68-73 องศา ฟาเรนไฮต์ หรือ 20-30 องศาเซลเซียส
2) ควบคุมความชื้นให้ได้ 30-60 เปอร์เซ็นต์
3) ควบคุม Air flow ให้เป็น Positive Pressure
5. จัดให้มีสัญญาณฉุกเฉิน เตือนภัยในหน่วยงานเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ควรดูแลระหว่างช่างของโรงพยาบาล และไม่ควรอยู่ใกล้กับอุปกรณ์ต่อไปนี้ เช่นจี้ไฟฟ้า เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อุปกรณ์ในการดมยาสลบ และเครื่องมือในการช่วยฟื้นคืนชีพ และควรมีการตรวจเช็คอุปกรณ์ก่อนและหลังใช้งานทุกครั้ง เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
6. การจัดเก็บอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์โดยเฉพาะลวด สายไฟฟ้า สายเคเบิล ควรเก็บโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายและการบาดเจ็บต่อผู้ป่วย แพทย์ และทีมผ่าตัด
7. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากอัคคีภัย ทั้งกับผู้ป่วยและ สถานที่ทำงานโดยจัดทำแผนผังการจัดการ แยกกลุ่มและแยกประเภทให้ชัดเจน
8. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการใช้แก๊สในการผ่าตัด ควรจัดเตรียมให้พรอ้มใช้ จัดเก็บและควบคุมสถานที่เก็บอย่างเหมาะสม
9. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการใช้แก๊สดมยาสลบควรมีการบริหารจัดการการควบคุมปริมาณแก๊สในองค์กรให้ได้รับแก๊สจากการทำงานน้อยที่สุดโดย The NIOSH ได้กำหนดมาตรฐานว่าไนตรัสออกไซด์ ควรได้รับไม่เกิน 25 ppm.ใน 8 ชั่วโมงและไม่เกิน 2 ppm. ใน 1 ชั่วโมง และทั้งระบบได้ประมาณ 1000 ppm. และควรล้างแอร์ ทุก 6 เดือนมี Air Filter และมีโปรแกรมการติดตามวัด ไนตรัสออกไซด์ อย่างต่อเนื่อง
10. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากควันจากการผ่าตัด ซึ่งเกิดจากการใช้จี้ไฟฟ้าและเลเซอร์ ควันจาการผ่าตัดมีผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนทำให้ระคายเคืองมีผลต่อสุขภาพระยะยาวและอาจทำให้เป็นมะเร็ง ดังนั้นจึงควรมีระบบป้องกันโดยใช้เครื่องดูดควัน หรือใช้ suction และมีตัวกรองอากาศในห้องผ่าตัด
11. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการใช้สารเคมี รวมทั้ง methyl methacrylate ,bone cement ซึ่งมีผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน ตาและ ระคายเคืองผิวหนังซึ่งmethyl methacrylate มีส่วนปะกอบของคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไฮโดรเจนและมีเทน ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ขาดประสบการณ์มีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หายใจลำบาก จึงควรมีการป้องกันให้ออกจากสิ่งแวดล้อม มีเครื่องดูดอากาศแลระบายอากาศที่ดี
AORN Recommended Practice for Environment Cleaning in Perioperative Setting (2008) กล่าวไว้ว่าการจัดสิ่งแวดล้อมทางด้านการทำความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในห้องผ่าตัดที่จะต้องมีแนวการปฏิบัติอย่างชัดเจนสรุป ได้ดังนี้
1. การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยด้านการทำความสะอาด เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรค และป้องกันการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ซึ่งต้องครอบคลุมถึง การทำความสะอาดห้อง เครื่องมืออุปกรณ์ ตลอดจนส่วนที่เชื่อมต่อกับสิ่งแวดล้อมภายนอก และควรมีการกำหนดทั้งต่อวัน ต่อสัปดาห์ และต่อเดือนให้เป็นมาตรฐาน
1) การทำความสะอาดห้อง อุปกรณ์ภายในห้องผ่าตัด เตียงผ่าตัด ต้องเช็ดทำความสะอาดก่อนเริ่มการผ่าตัดรายแรกของแต่ละวัน โดยใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำลายเชื้อ
2) หลังจากเสร็จผ่าตัดแต่ละรายเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อจากคราบเลือดสารคัดหลั่ง ควรเช็ดด้วยน้ำยาทำลายเชื้อและตามด้วยน้ำ ไม่ควรนำสารเคมีหรือน้ำยาทำลายเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ในการทำความสะอาดและทำลายเชื้อในส่วนที่เป็นพื้นผิวหรือเครื่องมือรอบๆห้อง แอลกอฮอล์ไม่ควรนำมาใช้ในการทำความสะอาดพื้นผิว เนื่องจากไม่สามารถขจัดคราบสกปรกที่เลอะเทอะออกได้และมีคุณสมบัติติดไฟต้องใช้อย่างระมัดระวัง
3) การทำความสะอาดพื้นที่หลังเสร็จการผ่าตัดในแต่ละวันจะทำเมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัดรายสุดท้ายของวันนั้น
4) ทุกๆ 24 ชั่วโมงหรือในช่วงเวลาระหว่างการทำงานของสัปดาห์ ควรมีระเบียบการล้างขัดห้องให้สะอาดอีกครั้ง โดยต้องเอาอุปกรณ์รอบๆห้องออกก่อน
5) พื้นที่อื่นๆ เช่นทางเดินรอบนอก ระหว่างห้องต่างๆ อ่างล้างมือ ห้องเก็บเครื่องมือปราศจากเชื้อควรมีการกำหนดวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน
2. มีข้อปฏิบัติของบุคคลากรเมื่อมีการผ่าตัดผู้ป่วยติดเชื้อเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อและเกิดความปลอดภัยจากการประกอบอาชีพ ป้องกันการได้รับเชื้อจากการทำงาน เช่น Hepatitis B, Hepatitis C, AIDS
1) ป้องกันการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่งและเครื่องมือที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคโดยไม่สัมผัสกับเครื่องมือโดยตรง ถุงมือที่สัมผัสกับเชื้อโรค สารคัดหลั่งต้องไม่ไปสัมผัสกับพื้นผิวรอบนอก สวมผ้าปิดปากและแว่นตาขณะปฏิบัติงาน
2) เครื่องมืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเลือดสารคัดหลั่งและเชื้อโรคหลังผ่าตัดต้องทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาทำลายเชื้อและทำความสะอาดพื้นที่ในห้องผ่าตัดทันที
3) ของมีคม เช่น มีดเข็มหรือวัสดุที่ใช้แล้วทิ้งกำจัดโดยใส่ภาชนะปิดและทนต่อการทะลุ
จากผลการศึกษาการปฏิบัติที่เป็นเลิศทางการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัย สรุปเป็นวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศของห้องผ่าตัด ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างทางกายภาพ ดังนี้ (เรณู อาจสาลี, 2550)
1. ขนาดของห้องผ่าตัดแต่ละห้องควรมีการออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการผ่าตัดของโรงพยาบาลแต่ละแห่งโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้
(1) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดเล็ก ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 20x20x10 ฟุต หรือ 400 ตารางฟุต (ประมาณ 37 ตารางเมตร) เพราะใช้ในการผ่าตัดเล็กที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือจำนวนมาก
(2) ห้องผ่าตัดขนาดกลางควรมีพื้นที่อย่างน้อย 22x22x10 ฟุตหรือ 484 ตารางฟุต (ประมาณ 45 ตารางเมตร) การผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือพิเศษที่มีเทคโนโลยีสูงเช่น เครื่องเลเซอร์ เครื่องวิดีทัศน์ เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ขณะใช้งานในห้อง
(3) ห้องผ่าตัดที่มีการผ่าตัดใหญ่ควรมีพื้นที่กว้างอย่างน้อย 20x30x10 ฟุต(ประมาณ 60 ตารางเมตร) เช่น ห้องผ่าตัดหัวใจ ซึ่งต้องมีเครื่องมือสำหรับเฝ้าระวังผู้ป่วยและเครื่องมือพิเศษจำนวนมาก
2. พื้นห้องผ่าตัดควรทำด้วยวัสดุเรียบแข็ง ไม่มีรูพรุน กันไฟ กันน้ำรั่วซึม และกันการดูดซับของสี ไม่สะท้อนแสงรับน้ำหนักได้ดีสามารถทำความสะอาดได้ง่ายพื้นต้องไม่มีร่องหรือรอยต่อเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเมื่อเคลื่อนย้ายเข้าออกและป้องกันอุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงาน ประตูควรเป็นประตูเลื่อนเพราะการเปิดเข้าออกบ่อยๆจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของอากาศควรมีช่องกระจกให้มองผ่านได้โดยไม่ต้องเปิดประตูเพื่อไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องผ่านเข้าออกโดยไม่จำเป็น
3. แสงสว่างในห้องต้องมีเพียงพอ นอกจากไฟเพดานแล้วต้องมีไฟผ่าตัดที่มีความเข้มข้นระหว่าง 2,500-12,500 แรงเทียนสามารถปรับความเข้มข้นของแสงได้ และเลื่อนไปมาได้ทุกทิศทางปรับโฟกัสได้มีแกนไฟสำหรับสวมที่จับ (Light Handle) เพื่อให้ทีมผ่าตัดสามารถจัดไฟได้ตามต้องการ
4. อุณหภูมิของห้องควรปรับให้ได้ประมาณ 18-24 องศาเซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 30-60% เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ป้องกันการเกิดอุณหภูมิกายต่ำ (อะเคื้อ อุณหเลขกะ, 2549, เรณู อาจสาลี, 2550, AORN, 2008 )
5. ระบบการถ่ายเทอากาศเป็น Positive Pressure เพื่อป้องกันอากาศภายนอกเข้าไปในห้องผ่าตัด มีระบบ Laminar Air Flow เป็น HEPA Filters สำหรับกรองอากาศและเชื้อแบคทีเรีย (อะเคื้อ อุณหเลขกะ, 2549)
6. การแบ่งเขตในห้องผ่าตัด เพื่อให้เกิดความสะอาดและสะดวกในการปฏิบัติงานและบุคคลากรสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องในเขตต่างๆแบ่งดังนี้ (เรณู อาจสาลี, 2550)
(1) เขตปลอดเชื้อ (Sterile Area) หมายถึงเฉพาะภายในห้องผ่าตัดทุกห้องบุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวก ผูกผ้าปิดปาก และ จมูก
(2) เขตกึ่งปลอดเชื้อ (Semi–Sterile Area) หมายถึงทางเดินภายในตึกผ่าตัด ระหว่างห้องผ่าตัด ห้องล้างมือ ห้องพักฟื้น บุคลากรต้องเปลี่ยนรองเท้า เสื้อผ้า สวมหมวกก่อนผ่านเข้าไป
(3) เขตไม่ปลอดเชื้อ (Non-Sterile Area) เป็นเขตรอยต่อระหว่างภายในกับภายนอกห้องผ่าตัดเป็นเขตที่บุคคลภายนอกที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดห้องผ่าตัดสามารถเจอกับบุคคลากรภายในห้องผ่าตัดได้
7. อ่างล้างมือ เป็นห้องที่ติดอยู่กับห้องผ่าตัดมีอ่างล้างมืออย่างน้อย 2 อ่างต่อ 1 ห้องผ่าตัดเพื่อความสะดวก อ่างควรมีความลึกพอสมควร ก๊อกน้ำไม่สูงเกินไปมีที่ปิดเปิดน้ำด้วยข้อศอกหรือเข่าที่ใช้ในการล้างมือเพื่อป้องกันการปนเปื้อนหลังจากล้างมือแล้ว
8. บริเวณชะล้างในตึกผ่าตัดและห้องจัดเตรียมห่อเครื่องมือ เครื่องใช้ ควรแยกออกจากเขตปลอดเชื้อและ เครื่องมือ เครื่องใช้ ภายหลังผ่าตัด เมื่อล้างทำความสะอาดแล้วไม่ควรนำกลับมาที่เขตปลอดเชื้อเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
9. การทำความสะอาดห้องผ่าตัด
(1) ทำความสะอาดก่อนเริ่มผ่าตัดตอนเช้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและผงซักฟอก หรือน้ำยาทำลายเชื้อ ไม่ควรใช้ไม้กวาด เพราะทำให้ฝุ่นละออง ฟุ้งกระจาย (เรณู อาจสาลี, 2550, AORN, 2008)
(2) การทำความสะอาดภายหลังการเสร็จผ่าตัดแต่ละราย ทำความสะอาดพื้นห้องและอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนก่อนเริ่มการผ่าตัดรายต่อไป ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีหรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ในการทำลายเชื้อแอลกอฮอล์ไม่ควรใช้ในการทำความสะอาดพื้นผิวเนื่องจากไม่สามารถขจัดพื้นที่สกปรกและเลอะเทอะออกได้และมีคุณสมบัติติดไฟต้องใช้อย่างระมัดระวัง (AORN, 2008) การทำความสะอาดหลังผ่าตัดในแต่ละวัน จะทำเมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัดรายสุดท้ายของวันนั้นเพื่อลดจำนวนเชื้อโรคในอากาศและอุปกรณ์ในการผ่าตัด (AORN, 2008, เรณู อาจสาลี, 2550)
(3) ทุกๆ 24 ชั่วโมงหรือในช่วงเวลาระหว่างการทำงานของสัปดาห์ควรมีระเบียบกำหนดให้มีการล้างขัดห้องให้สะอาดอีกครั้ง โดยเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ต่างๆออกนอกห้องเพื่อทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง (AORN, 2008)
(4) พื้นที่อื่นๆเช่นทางเดินรอบนอก ระหว่างห้องต่างๆ อ่างล้างมือ ห้องเก็บเครื่องมือปราศจากเชื้อควรมีการกำหนดวิธีทำความสะอาดให้ชัดเจนเพื่อให้ทุกพื้นที่ในห้องผ่าตัดได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง (AORN, 2008)
10. การทำความสะอาดกรณีหลังผ่าตัดที่มีการติดเชื้อ (septic case) เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้ป่วยอื่นและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
(1) เครื่องมืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเลือด สารคัดหลั่งและเชื้อโรคหลังผ่าตัดต้องมีการทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาทำลายเชื้อ ของมีคมเช่นเข็ม มีดหรือวัสดุที่ใช้แล้วทิ้ง กำจัดโดยใส่ภาชนะปิดและทนต่อการแทงทะลุ (AORN, 2008)
(2) บุคลากรควรมีการป้องกันการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่งและเครื่องมือที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคโดยไม่สัมผัสกับเครื่องมือโดยตรงบุคคลากรต้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า หมวก ผ้าปิดปากหลังเสร็จสิ้นการผ่าตัดทุกราย (AORN, 2008, เรณู อาจสาลี, 2550)
(3) ขยะ แยกใส่ถุงแดง เขียนป้ายขยะติดเชื้อให้ชัดเจน (เรณู อาจสาลี, 2550)
(4) พื้นห้องควรทำความสะอาดทันทีหลังเสร็จผ่าตัดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่า(AORN, 2008) หรือเทน้ำยาฆ่าเชื้อราดไว้ 30 นาที ก่อนเช็ดทำความสะอาด (เรณู อาจสาลี, 2550)
2. ด้านความปลอดภัยต่อผู้ป่วยและบุคลากร(AORN, 2008)
1) ความปลอดภัยในการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า และเครื่องมือทางการแพทย์ ควรจัดให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ตรวจสอบสภาพการใช้งานทุกครั้งและได้รับการตรวจสอบจากบริษัททุกปี
2) จัดให้มีสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินในหน่วยงานเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินและได้รับการดูแลจากช่างของโรงพยาบาล มีการตรวจเช็คอุปกรณ์ และตรวจสอบการใช้งานทุกวัน
3) มีระบบการป้องอัคคีภัยมีแผนการบริหารจัดการเมื่อเกิดอัคคีภัยอย่างชัดเจนตลอดจนให้ความรู้บุคลากรและซ้อมแผนป้องกันอัคคีภัยอย่างต่อเนื่องมี ป้ายบอกทางหนีไฟ และตรวจสอบอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา
4) มีระบบการติดตามวัดปริมาณการใช้ก๊าซในการผ่าตัด และ ดมยาสลบ อย่างต่อเนื่องโดยมาตรฐานการได้รับก๊าซไนตรัสไม่ควรเกิน 25 ppmใน 8 ชั่วโมงและไม่เกิน 2 ppmใน 1ชั่วโมง และทั้งระบบไม่ควรเกิน 1000 ppm มีการ ล้างแอร์อย่างน้อยทุก 6 เดือน และมี HEPA filter สำหรับกรองอากาศและเชื้อแบคทีเรีย
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552
บทบาทพยาบาลห้องผ่าตัด
บทบาทพยาบาลห้องผ่าตัด ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 โดยในช่วงแรกเริ่มขึ้นตามความต้องการของศัลยแพทย์ เพื่อให้เป็นผู้ช่วยเหลือแพทย์ในการทำผ่าตัด ต่อมาเมื่อการผ่าตัดได้พัฒนาโดยมีความซับซ้อนมากขึ้น วิธีการผ่าตัดเพิ่มขึ้น ทำให้บทบาทและความรับผิดชอบของพยาบาลห้องผ่าตัดเพิ่มขึ้นด้วย (เรณู อาจสาลี, 2550:2) ปี ค.ศ. 1875 เริ่มมีการบันทึกว่าพยาบาลเป็นผู้เตรียมเครื่องมือสำหรับการผ่าตัด John Hopkins University,Baltimore, U.S.A เป็นสถานที่แห่งแรกที่ให้นักศึกษาพยาบาลศึกษางานการผ่าตัด แต่ยังไม่มีบทบาทและหน้าที่ของพยาบาลในการเตรียมเครื่องมือ และการผ่าตัดเริ่มมีเพิ่มมากขึ้นซึ่งทำให้เห็นความสำคัญของพยาบาลห้องผ่าตัด แต่ยังไม่ได้กำหนดบทบาทชัดเจน ต่อมา Matha Luce หัวหน้าพยาบาลของ BostonTraining School ได้กำหนดบทบาทของพยาบาลในการมอบหมายงานโดยมีแนวคิดว่าพยาบาลไม่เพียงแต่ดูแลการผ่าตัด แต่ดูแลและคาดการณ์ล่วงหน้าในการจัดเตรียมอุปกรณ์ สิ่งของที่ต้องการให้พร้อมในการผ่าตัด และมีพยาบาลประจำตึกผู้ป่วยมาช่วยงานในห้องผ่าตัด และติดตามดูแลจนกระทั่งผู้ป่วยกลับบ้าน (Fairchild, 1996 อ้างใน วันเพ็ญ เส้นศูนย์, 2544:10)
ปี 1889 พยาบาลห้องผ่าตัดได้ถือว่าเป็นพยาบาลเฉพาะทางกลุ่มแรกในสายวิชาชีพพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย John Hopkins ได้มีการเปิดอบรม และสอนเจ้าหน้าที่ในสายเฉพาะทางห้องผ่าตัด โดยเน้นหลักสูตรไปทางด้านทักษะการเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ การช่วยเหลือศัลยแพทย์ โดยคำนึงถึงผู้ป่วยน้อยมากทำให้พยาบาลห้องผ่าตัดไม่ตระหนักถึงการดูแลผู้ป่วย จำกัดงานของตนเองเฉพาะทักษะของการส่งเครื่องมือในห้องผ่าตัดเท่านั้น ขาดบทบาทสำคัญโดยตรงในการดูแลผู้ป่วย ทำให้ขาดสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับพยาบาล และขาดการติดต่อกับผู้ร่วมวิชาชีพในแผนกอื่นๆในโรงพยาบาล (เรณู อาจสาลี, 2550:2)
Dr.Hunter Robbcs แห่งโรงพยาบาล John Hopkinsได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับทีมสำหรับการทำผ่าตัด คือ การเตรียมดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ มีการผ่าตัดโดยให้พยาบาลประจำการที่มีประสบการณ์มีบทบาทเป็นพยาบาลส่งเครื่องมือ ส่วนพยาบาลสำเร็จการศึกษาใหม่เป็นผู้ช่วยดูแลอุปกรณ์ ในปี ค.ศ. 1910 American Nurses Association (ANA) ได้เขียนหน้าที่ของพยาบาลช่วยเหลือรอบนอกเป็นพยาบาลที่มีประสบการณ์มาก และมีเทคนิคปราศจากเชื้อ ส่วนพยาบาลส่งเครื่องมือเป็นพยาบาลสำเร็จการศึกษาใหม่ไม่ต้องมีประสบการณ์ทางการพยาบาลก็ได้ ซึ่งในปัจจุบันบทบาทพยาบาลช่วยรอบนอกถูกมอบหมายให้พยาบาลวิชาชีพและหน้าที่ส่งเครื่องมือเป็นหน้าที่ของพยาบาลวิชาชีพหรือนักเทคนิคในปี ค.ศ. 1919 มีการประชุมหลักสูตรเกี่ยวกับห้องผ่าตัด โดยมีผู้ตรวจการพยาบาลในห้องผ่าตัดเป็นผู้ดูแลต่อมา The National League for nursing (NLN) ได้วางหลักสูตรสำหรับความก้าวหน้าในทฤษฎีและเทคนิคในห้องผ่าตัดเป็นไปแบบสำหรับฝึกในวิชาการพยาบาลห้องผ่าตัด ในช่วงปีค.ศ. 1940 ถึง ค.ศ. 1945 บทบาทพยาบาลห้องผ่าตัตเริ่มชัดเจนขึ้นในบทบาทด้านการเป็นผู้นำ บทบาทครู และพยาบาลมืออาชีพที่รับผิดชอบการปฏิบัติการพยาบาลห้องผ่าตัด พยาบาลห้องผ่าตัดไม่เพียงแต่ดูแลผู้ป่วยระหว่างปฏิบัติการพยาบาลห้องผ่าตัด แต่เริ่มบทบาทในการบริหารจัดการในห้องผ่าตัด ขณะที่บทบาทพยาบาลส่งเครื่องมือถูกส่งต่อให้กับนักเทคนิค ต่อมาปี ค.ศ. 1946 ถึง ค.ศ. 1960 พยาบาลมีบทบาททั้งเป็นนักวิชาชีพ และนักวิชาการ ซึ่งนักเทคนิคทำหน้าที่เป็นผู่ส่งเครื่องมือภายใต้การนิเทศจากพยาบาล ผู้ตรวจการ NLN เริ่มมีบทบาทลดลง หลักสูตรนักศึกษาพยาบาลมีเพียงการสังเกตการณ์ และมีระยะเวลาที่ฝึกลดลงด้วย ต่อมาพยาบาลห้องผ่าตัดได้สร้างองค์กรที่มีรูปแบบของความรู้ และมีแนวคิด จึงมีพยาบาลระดับผู้ตรวจการใน New York จำนวน 17 คน รวมกันจัดตั้งสมาคมพยาบาลห้องผ่าตัด (Association of Operating Room Nurse: AORN) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ จูงใจให้พยาบาลที่มีประสบการณ์ได้สอนผู้ที่เริ่มฝึกหัดใหม่ และส่งเสริมสนับสนุนให้พยาบาลอยู่ในระดับที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ต่อมา American Nurse Association (ANA) เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนทำให้ AORN ได้ก่อตั้งขื้นในปี ค.ศ. 1959 เริ่มให้การพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นการดูแลโดยเอาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากกว่ามุ่งเน้นที่การปฏิบัติงานกับเครื่องมือ และต้องการสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงาน ค.ศ. 1976 เริ่มมีการให้ความหมายเกี่ยวกับ “บทบาท” ต่อมาอีก 2 ปี “perioperative” เป็นคำที่ใชอธิบายบทบาท และหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในการเป็นวิชาชีพของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย 3 ระยะ คือ ก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัด และหลังผ่าตัด (Fairchild, 1996 อ้างใน วันเพ็ญ เส้นศูนย์, 2544:10-11) ในปี ค.ศ.1978 สมาคมพยาบาลห้องผ่าตัดนานาชาติ (The Association of Perioperating Registered Nurses : AORN) ได้ใช้คำ Perioperative Nursing แทนคำว่า Operating Room Nursing เพื่อขยายบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของพยาบาลผ่าตัดในการดูแลผู้ป่วยที่มารับบริการโดยมีมาตรฐานการปฏิบัติ 6 มาตรฐาน คือ
มาตรฐานที่ 1 การประเมินผู้ป่วย
มาตรฐานที่ 2 การวินิจฉัยการพยาบาล
มาตรฐานที่ 3 การระบุผลลัพธ์
มาตรฐานที่ 4 การวางแผนการพยาบาล
มาตรฐานที่ 5 การปฏิบัติการพยาบาล
มาตรฐานที่ 6 การประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาล
โดยครอบคลุมทั้ง 3 ระยะการผ่าตัด ซึ่งเป็นการขยายบทบาทของพยาบาลห้องผ่าตัดให้ทำหน้าที่เป็นพยาบาลวิชาชีพอย่างสมบูรณ์ ให้การดูแลผู้ป่วยโดย “ ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ” ครอบคลุมทั้งร่างกาย และจิตใจ ตั้งแต่รับผู้ป่วยมาจากหอผู้ป่วย โดยมีการวางแผนการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาล ประเมินผลทางการพยาบาลปรับปรุงแผนการพยาบาล เพื่อให้การพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะรายให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น (เรณู อาจสาลี, 2550:3) ในปีค.ศ.1982 เริ่มมีการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการพยาบาลผ่าตัดเฉพาะทาง ถึงแม้ได้มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทในด้านวิชาชีพพยาบาลแล้ว คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในสายวิชาชีพเดียวกัน ยังคงมีทัศนคติต่อพยาบาล ห้องผ่าตัดว่า เป็นพยาบาลทำงานกับอุปกรณ์ เครื่องมือเท่านั้น ซึ่งงานเหล่านี้นับเป็นงานส่วนหนึ่งของพยาบาลห้องผ่าตัดในระหว่างผ่าตัดเท่านั้น แต่ AORN ได้พยายามปกป้องบทบาทของพยาบาลห้องผ่าตัด จนกระทั่งได้มีการฝึกอบรม OR Technician ซึ่งไม่ได้เป็นพยาบาลทดแทนบทบาทพยาบาลห้องผ่าตัด ในหน้าที่ส่งเครื่องมือ (Fairchild, 1996 อ้างใน วันเพ็ญ เส้นศูนย์, 2544:11)
ด้วยความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางวิชาการ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการบริการด้านสุขภาพ การพัฒนาระบบการพัฒนาบุคลากร การปรับเปลี่ยนพัฒนางานให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม บุคลากรทางการพยาบาลห้องผ่าตัด ซึ่งให้การดูแลผู้ป่วยที่มารับการรักษาหรือรับการวินิจฉัยด้วยการผ่าตัด ต้องศึกษาหาความรู้ที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานร่วมกับทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ Garvey, Chabers and Boore (2000) กล่าวว่า บทบาทของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัดต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เจริญมากขึ้นด้วย ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทให้เหมาะสมเพื่อพัฒนาการปฏิบัติการพยาบาลผ่าตัดที่ทันสมัยตามเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิชากร เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยคืนสู่ภาวะสุขภาพปกติโดยเร็ว และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน
นอกจากนี้ในปัจจุบันผู้มารับบริการมีความรู้และระดับการศึกษาที่สูงขึ้นและมีความคาดหวังที่จะได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและมีคุณธรรมสูงขึ้น ได้รับการพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยและศักดิ์ศรีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น ความคาดหวังต่อการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลการพยาบาลห้องผ่าตัดนับเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการพยาบาลด้านสุขภาพที่มีผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลง (เบญจมาศ ปรีชาคุณ, 2544) ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงมีหน้าที่วางแผนในการดูแลผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดให้ปลอดภัยตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยมารับบริการที่ห้องผ่าตัด บทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกขั้นตอนควรมีการปรับเปลี่ยน และพัฒนาบทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกระยะภายในห้องผ่าตัดให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด สมกับเป็นพยาบาลวิชาชีพ Professional nurse (เรณู อาจสาลี, 2542:38) งานของพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นงานที่ผสมผสานระหว่างการดูแลผู้มารับบริการตลอดระยะเวลาของการผ่าตัด โดยนำกระบวนการพยาบาลมาใช้ให้ครอบคลุมทั้งด้านการดูแลรักษา ป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟูแล้วยังต้องมีความชำนาญเฉพาะทางในเรื่องวิธีการทำผ่าตัด (Procedure) และเทคนิคต่างๆ ตลอดจนใช้ทักษะการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ใช้เพื่อการผ่าตัด โดยมีองค์ความรู้เป็นพื้นฐาน (Knowledge based professional) ใช้กระบวนการแก้ปัญหาด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์โดยให้การพยาบาลที่ถือหลักว่ามนุษย์เป็นองค์รวมที่มีบูรณาการของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม วิญญาณ และสิ่งแวดล้อม ทำให้บุคลากรทางการพยาบาลห้องผ่าตัดทุกคนจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจทางการศึกษา การปฏิบัติ การบริหาร และการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจากการพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ (ทัศนา บุญทอง, 2540:ช) จะต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเอง เพื่อให้ตอบสนองต่อสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความคาดหวังของสังคมที่มีต่อวิชาชีพนี้ได้เพิ่มมากขึ้น ในการที่จะดูแลผู้ป่วย ที่เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจะมีความแตกต่างไปจากอดีต
Furlow , Huglan (1994) ได้กล่าวไว้ว่า พยาบาลห้องผ่าตัดปฏิบัติงานที่เน้นความรู้ ความสามารถ และความชำนาญทางเทคนิคมากกว่าการปฏิบัติที่เน้นการพยาบาลและการดูแลตามปัญหา และความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างจากพยาบาลประจำการหอผู้ป่วย พยาบาลห้องผ่าตัดจะต้องใช้องค์ความรู้ ที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ รวมทั้งทักษะและประสบการณ์ ในการตัดสินใจให้การพยาบาลผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าตัดตามมาตรฐานการพยาบาลผ่าตัด การพยาบาลห้องผ่าตัดนับเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการพยาบาลด้านสุขภาพ ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงมีหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดให้ปลอดภัยตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยมารับบริการที่ห้องผ่าตัด และดูแลห้องผ่าตัดให้สะอาด มีความพร้อมที่จะผ่าตัดได้ตลอดเวลา อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้จะต้องอยู่ในสภาพที่ดี สามารถใช้งานได้และมีจำนวนเพียงพอที่จะทำผ่าตัดได้ทั้งในเวลาปกติและฉุกเฉิน สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ประจำของพยาบาลห้องผ่าตัด นอกจากนี้ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ส่งเครื่องมือ ผู้ช่วยผ่าตัด ผู้ช่วยเหลือทีมผ่าตัด เพื่อให้การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดระยะเวลาผ่าตัด และให้การพยาบาลได้อย่างต่อเนื่อง บทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกขั้นตอน ควรมีการปรับและขยายบทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกระยะภายในห้องผ่าตัดให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด สมกับเป็นพยาบาลวิชาชีพ Professional nurse (เรณู อาจสาลี, 2542:38)
รูปแบบของพยาบาลห้องผ่าตัดในยุคใหม่ควรเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการพยาบาล Webster and Cowar (1990) และ Furlow and Huglan (1994) ได้กล่าวว่าบทบาทหน้าที่ของพยาบาลที่ปฏิบัติงานในห้องผ่าตัดไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริหารทางการพยาบาล เมื่อมีปัญหาจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่เข้าใจการปฏิบัติงานของพยาบาลห้องผ่าตัด ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากการปฏิบัติงานยังไม่มีการกำหนดบทบาทและหน้าที่อย่างชัดเจน จะเข้าใจว่าเป็นการทำงานโดยใช้ทักษะด้านการชำนาญทางเทคนิคเท่านั้นซึ่งสอดคล้องกับ สุภาพ เอื้ออารี (2541) ที่กล่าวว่า เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีพยาบาลมุ่งเน้นความชำนาญทางด้านความรู้ และทักษะหรือบางครั้งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ผ่าตัด ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานแทนวิชาชีพอื่น มุ่งเน้นความสำเร็จของงานเป็นหลัก ทำให้ขาดความชำนาญในเชิงวิชาชีพของตน เพราะต้องกระทำหน้าที่แทนบุคลากรวิชาชีพอื่นที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงควรมีการทบทวนบทบาทเพื่อพัฒนาศักยภาพของการปฏิบัติให้เป็นวิชาชีพอย่างแท้จริงโดยมีองค์ความรู้พื้นฐาน (Knowledge based professional) ใช้กระบวนการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์โดยให้การพยาบาลที่ถือหลักว่ามนุษย์เป็นองค์รวมที่มีบูรณการของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม จิตวิญญาณ และสิ่งแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่พยาบาลห้องผ่าตัดจะต้องเผชิญและปรับเปลี่ยนบทบาทในการให้บริการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากการพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ (ทัศนา บุญทอง.2540:ช) อีกทั้งการที่ประชาชนมีความคาดหวังในคุณภาพการบริการ และต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น พยาบาลห้องผ่าตัดในยุคปัจจุบันจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทและการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม
ปี 1889 พยาบาลห้องผ่าตัดได้ถือว่าเป็นพยาบาลเฉพาะทางกลุ่มแรกในสายวิชาชีพพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย John Hopkins ได้มีการเปิดอบรม และสอนเจ้าหน้าที่ในสายเฉพาะทางห้องผ่าตัด โดยเน้นหลักสูตรไปทางด้านทักษะการเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ การช่วยเหลือศัลยแพทย์ โดยคำนึงถึงผู้ป่วยน้อยมากทำให้พยาบาลห้องผ่าตัดไม่ตระหนักถึงการดูแลผู้ป่วย จำกัดงานของตนเองเฉพาะทักษะของการส่งเครื่องมือในห้องผ่าตัดเท่านั้น ขาดบทบาทสำคัญโดยตรงในการดูแลผู้ป่วย ทำให้ขาดสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับพยาบาล และขาดการติดต่อกับผู้ร่วมวิชาชีพในแผนกอื่นๆในโรงพยาบาล (เรณู อาจสาลี, 2550:2)
Dr.Hunter Robbcs แห่งโรงพยาบาล John Hopkinsได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับทีมสำหรับการทำผ่าตัด คือ การเตรียมดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ มีการผ่าตัดโดยให้พยาบาลประจำการที่มีประสบการณ์มีบทบาทเป็นพยาบาลส่งเครื่องมือ ส่วนพยาบาลสำเร็จการศึกษาใหม่เป็นผู้ช่วยดูแลอุปกรณ์ ในปี ค.ศ. 1910 American Nurses Association (ANA) ได้เขียนหน้าที่ของพยาบาลช่วยเหลือรอบนอกเป็นพยาบาลที่มีประสบการณ์มาก และมีเทคนิคปราศจากเชื้อ ส่วนพยาบาลส่งเครื่องมือเป็นพยาบาลสำเร็จการศึกษาใหม่ไม่ต้องมีประสบการณ์ทางการพยาบาลก็ได้ ซึ่งในปัจจุบันบทบาทพยาบาลช่วยรอบนอกถูกมอบหมายให้พยาบาลวิชาชีพและหน้าที่ส่งเครื่องมือเป็นหน้าที่ของพยาบาลวิชาชีพหรือนักเทคนิคในปี ค.ศ. 1919 มีการประชุมหลักสูตรเกี่ยวกับห้องผ่าตัด โดยมีผู้ตรวจการพยาบาลในห้องผ่าตัดเป็นผู้ดูแลต่อมา The National League for nursing (NLN) ได้วางหลักสูตรสำหรับความก้าวหน้าในทฤษฎีและเทคนิคในห้องผ่าตัดเป็นไปแบบสำหรับฝึกในวิชาการพยาบาลห้องผ่าตัด ในช่วงปีค.ศ. 1940 ถึง ค.ศ. 1945 บทบาทพยาบาลห้องผ่าตัตเริ่มชัดเจนขึ้นในบทบาทด้านการเป็นผู้นำ บทบาทครู และพยาบาลมืออาชีพที่รับผิดชอบการปฏิบัติการพยาบาลห้องผ่าตัด พยาบาลห้องผ่าตัดไม่เพียงแต่ดูแลผู้ป่วยระหว่างปฏิบัติการพยาบาลห้องผ่าตัด แต่เริ่มบทบาทในการบริหารจัดการในห้องผ่าตัด ขณะที่บทบาทพยาบาลส่งเครื่องมือถูกส่งต่อให้กับนักเทคนิค ต่อมาปี ค.ศ. 1946 ถึง ค.ศ. 1960 พยาบาลมีบทบาททั้งเป็นนักวิชาชีพ และนักวิชาการ ซึ่งนักเทคนิคทำหน้าที่เป็นผู่ส่งเครื่องมือภายใต้การนิเทศจากพยาบาล ผู้ตรวจการ NLN เริ่มมีบทบาทลดลง หลักสูตรนักศึกษาพยาบาลมีเพียงการสังเกตการณ์ และมีระยะเวลาที่ฝึกลดลงด้วย ต่อมาพยาบาลห้องผ่าตัดได้สร้างองค์กรที่มีรูปแบบของความรู้ และมีแนวคิด จึงมีพยาบาลระดับผู้ตรวจการใน New York จำนวน 17 คน รวมกันจัดตั้งสมาคมพยาบาลห้องผ่าตัด (Association of Operating Room Nurse: AORN) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ จูงใจให้พยาบาลที่มีประสบการณ์ได้สอนผู้ที่เริ่มฝึกหัดใหม่ และส่งเสริมสนับสนุนให้พยาบาลอยู่ในระดับที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ต่อมา American Nurse Association (ANA) เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนทำให้ AORN ได้ก่อตั้งขื้นในปี ค.ศ. 1959 เริ่มให้การพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นการดูแลโดยเอาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากกว่ามุ่งเน้นที่การปฏิบัติงานกับเครื่องมือ และต้องการสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงาน ค.ศ. 1976 เริ่มมีการให้ความหมายเกี่ยวกับ “บทบาท” ต่อมาอีก 2 ปี “perioperative” เป็นคำที่ใชอธิบายบทบาท และหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในการเป็นวิชาชีพของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย 3 ระยะ คือ ก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัด และหลังผ่าตัด (Fairchild, 1996 อ้างใน วันเพ็ญ เส้นศูนย์, 2544:10-11) ในปี ค.ศ.1978 สมาคมพยาบาลห้องผ่าตัดนานาชาติ (The Association of Perioperating Registered Nurses : AORN) ได้ใช้คำ Perioperative Nursing แทนคำว่า Operating Room Nursing เพื่อขยายบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของพยาบาลผ่าตัดในการดูแลผู้ป่วยที่มารับบริการโดยมีมาตรฐานการปฏิบัติ 6 มาตรฐาน คือ
มาตรฐานที่ 1 การประเมินผู้ป่วย
มาตรฐานที่ 2 การวินิจฉัยการพยาบาล
มาตรฐานที่ 3 การระบุผลลัพธ์
มาตรฐานที่ 4 การวางแผนการพยาบาล
มาตรฐานที่ 5 การปฏิบัติการพยาบาล
มาตรฐานที่ 6 การประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาล
โดยครอบคลุมทั้ง 3 ระยะการผ่าตัด ซึ่งเป็นการขยายบทบาทของพยาบาลห้องผ่าตัดให้ทำหน้าที่เป็นพยาบาลวิชาชีพอย่างสมบูรณ์ ให้การดูแลผู้ป่วยโดย “ ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ” ครอบคลุมทั้งร่างกาย และจิตใจ ตั้งแต่รับผู้ป่วยมาจากหอผู้ป่วย โดยมีการวางแผนการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาล ประเมินผลทางการพยาบาลปรับปรุงแผนการพยาบาล เพื่อให้การพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะรายให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น (เรณู อาจสาลี, 2550:3) ในปีค.ศ.1982 เริ่มมีการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการพยาบาลผ่าตัดเฉพาะทาง ถึงแม้ได้มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทในด้านวิชาชีพพยาบาลแล้ว คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในสายวิชาชีพเดียวกัน ยังคงมีทัศนคติต่อพยาบาล ห้องผ่าตัดว่า เป็นพยาบาลทำงานกับอุปกรณ์ เครื่องมือเท่านั้น ซึ่งงานเหล่านี้นับเป็นงานส่วนหนึ่งของพยาบาลห้องผ่าตัดในระหว่างผ่าตัดเท่านั้น แต่ AORN ได้พยายามปกป้องบทบาทของพยาบาลห้องผ่าตัด จนกระทั่งได้มีการฝึกอบรม OR Technician ซึ่งไม่ได้เป็นพยาบาลทดแทนบทบาทพยาบาลห้องผ่าตัด ในหน้าที่ส่งเครื่องมือ (Fairchild, 1996 อ้างใน วันเพ็ญ เส้นศูนย์, 2544:11)
ด้วยความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางวิชาการ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการบริการด้านสุขภาพ การพัฒนาระบบการพัฒนาบุคลากร การปรับเปลี่ยนพัฒนางานให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม บุคลากรทางการพยาบาลห้องผ่าตัด ซึ่งให้การดูแลผู้ป่วยที่มารับการรักษาหรือรับการวินิจฉัยด้วยการผ่าตัด ต้องศึกษาหาความรู้ที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานร่วมกับทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ Garvey, Chabers and Boore (2000) กล่าวว่า บทบาทของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัดต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เจริญมากขึ้นด้วย ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทให้เหมาะสมเพื่อพัฒนาการปฏิบัติการพยาบาลผ่าตัดที่ทันสมัยตามเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิชากร เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยคืนสู่ภาวะสุขภาพปกติโดยเร็ว และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน
นอกจากนี้ในปัจจุบันผู้มารับบริการมีความรู้และระดับการศึกษาที่สูงขึ้นและมีความคาดหวังที่จะได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและมีคุณธรรมสูงขึ้น ได้รับการพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยและศักดิ์ศรีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น ความคาดหวังต่อการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลการพยาบาลห้องผ่าตัดนับเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการพยาบาลด้านสุขภาพที่มีผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลง (เบญจมาศ ปรีชาคุณ, 2544) ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงมีหน้าที่วางแผนในการดูแลผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดให้ปลอดภัยตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยมารับบริการที่ห้องผ่าตัด บทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกขั้นตอนควรมีการปรับเปลี่ยน และพัฒนาบทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกระยะภายในห้องผ่าตัดให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด สมกับเป็นพยาบาลวิชาชีพ Professional nurse (เรณู อาจสาลี, 2542:38) งานของพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นงานที่ผสมผสานระหว่างการดูแลผู้มารับบริการตลอดระยะเวลาของการผ่าตัด โดยนำกระบวนการพยาบาลมาใช้ให้ครอบคลุมทั้งด้านการดูแลรักษา ป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟูแล้วยังต้องมีความชำนาญเฉพาะทางในเรื่องวิธีการทำผ่าตัด (Procedure) และเทคนิคต่างๆ ตลอดจนใช้ทักษะการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ใช้เพื่อการผ่าตัด โดยมีองค์ความรู้เป็นพื้นฐาน (Knowledge based professional) ใช้กระบวนการแก้ปัญหาด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์โดยให้การพยาบาลที่ถือหลักว่ามนุษย์เป็นองค์รวมที่มีบูรณาการของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม วิญญาณ และสิ่งแวดล้อม ทำให้บุคลากรทางการพยาบาลห้องผ่าตัดทุกคนจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจทางการศึกษา การปฏิบัติ การบริหาร และการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจากการพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ (ทัศนา บุญทอง, 2540:ช) จะต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเอง เพื่อให้ตอบสนองต่อสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความคาดหวังของสังคมที่มีต่อวิชาชีพนี้ได้เพิ่มมากขึ้น ในการที่จะดูแลผู้ป่วย ที่เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจะมีความแตกต่างไปจากอดีต
Furlow , Huglan (1994) ได้กล่าวไว้ว่า พยาบาลห้องผ่าตัดปฏิบัติงานที่เน้นความรู้ ความสามารถ และความชำนาญทางเทคนิคมากกว่าการปฏิบัติที่เน้นการพยาบาลและการดูแลตามปัญหา และความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างจากพยาบาลประจำการหอผู้ป่วย พยาบาลห้องผ่าตัดจะต้องใช้องค์ความรู้ ที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ รวมทั้งทักษะและประสบการณ์ ในการตัดสินใจให้การพยาบาลผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าตัดตามมาตรฐานการพยาบาลผ่าตัด การพยาบาลห้องผ่าตัดนับเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการพยาบาลด้านสุขภาพ ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงมีหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดให้ปลอดภัยตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยมารับบริการที่ห้องผ่าตัด และดูแลห้องผ่าตัดให้สะอาด มีความพร้อมที่จะผ่าตัดได้ตลอดเวลา อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้จะต้องอยู่ในสภาพที่ดี สามารถใช้งานได้และมีจำนวนเพียงพอที่จะทำผ่าตัดได้ทั้งในเวลาปกติและฉุกเฉิน สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ประจำของพยาบาลห้องผ่าตัด นอกจากนี้ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ส่งเครื่องมือ ผู้ช่วยผ่าตัด ผู้ช่วยเหลือทีมผ่าตัด เพื่อให้การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดระยะเวลาผ่าตัด และให้การพยาบาลได้อย่างต่อเนื่อง บทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกขั้นตอน ควรมีการปรับและขยายบทบาทการให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกระยะภายในห้องผ่าตัดให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด สมกับเป็นพยาบาลวิชาชีพ Professional nurse (เรณู อาจสาลี, 2542:38)
รูปแบบของพยาบาลห้องผ่าตัดในยุคใหม่ควรเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการพยาบาล Webster and Cowar (1990) และ Furlow and Huglan (1994) ได้กล่าวว่าบทบาทหน้าที่ของพยาบาลที่ปฏิบัติงานในห้องผ่าตัดไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริหารทางการพยาบาล เมื่อมีปัญหาจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่เข้าใจการปฏิบัติงานของพยาบาลห้องผ่าตัด ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากการปฏิบัติงานยังไม่มีการกำหนดบทบาทและหน้าที่อย่างชัดเจน จะเข้าใจว่าเป็นการทำงานโดยใช้ทักษะด้านการชำนาญทางเทคนิคเท่านั้นซึ่งสอดคล้องกับ สุภาพ เอื้ออารี (2541) ที่กล่าวว่า เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีพยาบาลมุ่งเน้นความชำนาญทางด้านความรู้ และทักษะหรือบางครั้งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ผ่าตัด ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานแทนวิชาชีพอื่น มุ่งเน้นความสำเร็จของงานเป็นหลัก ทำให้ขาดความชำนาญในเชิงวิชาชีพของตน เพราะต้องกระทำหน้าที่แทนบุคลากรวิชาชีพอื่นที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นพยาบาลห้องผ่าตัดจึงควรมีการทบทวนบทบาทเพื่อพัฒนาศักยภาพของการปฏิบัติให้เป็นวิชาชีพอย่างแท้จริงโดยมีองค์ความรู้พื้นฐาน (Knowledge based professional) ใช้กระบวนการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์โดยให้การพยาบาลที่ถือหลักว่ามนุษย์เป็นองค์รวมที่มีบูรณการของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม จิตวิญญาณ และสิ่งแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่พยาบาลห้องผ่าตัดจะต้องเผชิญและปรับเปลี่ยนบทบาทในการให้บริการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากการพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ (ทัศนา บุญทอง.2540:ช) อีกทั้งการที่ประชาชนมีความคาดหวังในคุณภาพการบริการ และต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น พยาบาลห้องผ่าตัดในยุคปัจจุบันจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทและการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)